ไมโครซอฟท์รวมตัวผู้นำ 7 ชาติ เปิดเวทีแลกเปลี่ยนนวัตกรรมดิจิทัล

ไมโครซอฟท์รวมตัวผู้นำ 7 ชาติ เปิดเวทีแลกเปลี่ยนนวัตกรรมดิจิทัล ประเดิมที่วิทยาลัยนโยบายสาธารณะลีกวนยูแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งไมโครซอฟท์ร่วมมือเปิดตัวเครือข่ายพันธมิตรทางดิจิทัลของผู้นำแห่งเอเชียแปซิฟิก (APAC Leaders Digital Alliance) อย่างเป็นทางการ

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่าเทคโนโลยีกำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกว้างขวางในทุกภาคส่วนของสังคม และบริษัทเชื่อว่าทรัพยากรข้อมูลและเทคโนโลยีจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถฟื้นฟูและเติบโตต่อไปได้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไปด้วยกันอย่างเสมอภาค และเสริมความแข็งแกร่ง คล่องตัวให้กับสังคมที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย

"ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีกรอบนโยบายและมาตรฐานที่ลงตัว สอดรับกับจุดมุ่งหมายเหล่านี้ การรวมตัวของผู้นำจากทั่วทั้งภูมิภาคนี้จะช่วยเปิดเวทีให้แต่ละฝ่ายได้นำแนวปฏิบัติดีๆ มาแบ่งปัน แลกเปลี่ยน และพัฒนาต่อยอด เพื่อเปิดทางให้ประเทศไทยและชาติอื่นๆ ได้ยกระดับศักยภาพต่อไปในอนาคต"

ล่าสุด สมาชิกของเครือข่ายได้จัดการประชุมครั้งแรกขึ้นภายใต้แนวคิด “Digital for Growth: Harnessing the Power of Data for National Recovery” หรือการนำข้อมูลดิจิทัลมาขับเคลื่อนการฟื้นฟูประเทศ โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐของอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม รวมถึงนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ธนาคารโลก ไอดีซี และไมโครซอฟท์เข้าร่วมการประชุม เพื่อหารือแนวคิดด้านการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในองค์รวม และการวางกรอบนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการตัดสินใจที่มีข้อมูลเป็นรากฐานสำคัญ นอกจากนี้ ผู้นำจากหน่วยงานภาครัฐยังมีโอกาสได้แบ่งปันและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของการทำงานและความสำคัญของทักษะดิจิทัลในภาคราชการอีกด้วย

นายฌอง-ฟิลลิปป์ คูร์ตัวส์ รองประธานกรรมการบริหารและประธานกลุ่มความร่วมมือเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับชาติของไมโครซอฟท์ กล่าวว่าการจัดตั้งเครือข่ายนี้เป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่ง และยังเป็นความร่วมมือในรูปแบบนี้ครั้งแรกสำหรับไมโครซอฟท์อีกด้วย ประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกล้วนตระหนักดีถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีในการสร้างงาน คงความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจและเศรษฐกิจ ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่เข้าขั้นวิกฤต

"ที่ผ่านมา เราได้นำแนวคิดที่มุ่งเน้นดิจิทัลเป็นหลักมาปรับใช้ในตลาดหลายแห่งของเรา เช่นเมื่อช่วงต้นปี ที่เราได้เปิดตัวโครงการ Berdayakan Indonesia และ Bersama Malaysia เพื่อสนับสนุนแผนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของอินโดนีเซียและมาเลเซีย ควบคู่ไปกับการสร้างทักษะให้ผู้คนนับล้านในทั้งสองประเทศอีกด้วย เราเชื่อว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ผู้นำจากรัฐบาลจะมารวมตัวกันเพื่อวางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างการฟื้นตัวให้กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในระยะต่อไป”

เป้าหมายของการร่วมมือนี้คือการเร่งขับเคลื่อนการฟื้นฟู เสริมศักยภาพการปรับตัวของประเทศ ด้วยคลาวด์และ AI โดยจากการสำรวจโดย Economist Intelligence Unit เมื่อไม่นานมานี้ พบว่าบุคลากรภาครัฐ 8 จาก 10 คนที่เข้าร่วมการสำรวจ เห็นว่ามีการลงทุนในด้านดิจิทัลมากขึ้น หลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยพวกเขาต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญของกระบวนการ Digital Transformation ที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน

“สถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นนี้ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงเทรนด์ใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมหาศาลในชีวิตของเรา ซึ่งก็คือความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลให้มากขึ้น โดยไม่ได้มีปัจจัยขับเคลื่อนจากเหตุการณ์ด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจและสังคมด้วย เราจะพัฒนาต่อไปได้ก็ด้วยการแสวงหาวิธีใหม่ๆ ในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งก็เป็นภารกิจที่เครือข่ายพันธมิตรทางดิจิทัลของผู้นำแห่งเอเชียแปซิฟิกนี้จะเข้ามาตอบโจทย์ ด้วยการรวบรวมความรู้ มุมมอง และแนวคิดที่เป็นประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญมากมาย” แดนนี่ ควาห์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และคณบดีแห่งวิทยาลัยนโยบายสาธารณะลีกวนยู มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าว

รายงานวิจัยเกี่ยวกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น ซึ่งจัดทำขึ้นโดย The Economist เผยว่ารัฐบาลและองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่างให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยหน่วยงานภาครัฐที่มีความพร้อมสูงกว่าในเชิงดิจิทัลจะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โรคระบาดได้ดีกว่า และการลงทุนในด้านการปฏิรูปด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) ก็จะช่วยให้การปฏิบัติงานของภาครัฐมีความมั่นคง ต่อเนื่อง ปรับตัวได้ทันสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.

Leave a Comment